Last updated: 7 Apr 2017 | 6458 Views |
เวลาจะเลือกใช้แบตเตอรี่เราก็มักจะต้องเลือกแบบที่มี “แอมป์” สูง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่อะไรก็จะต้องมีขนาดแอมป์ให้เราเลือกใช้ ถ้าอย่างงั้น เราควรจะเลือกอย่างไร?
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันก่อน แอมป์ หรือ A นั้น เป็นหน่วยของกระแสหรือจะเรียกว่ากำลังไฟก็น่าจะเข้าใจได้ง่าย แล้ว Ah ล่ะคืออะไร??
วิธีอ่านค่าแอมป์ต่าง ๆ นั้นต้องทำความเข้าใจว่า หน่วยของกระแสไฟหรือ A นั้นจำเป็นต้องมีหน่วยของเวลามาเกี่ยวข้องด้วย เหมือนกับการขับรถที่ความเร็ว 100 กม. ต้องระบุว่าต่อชั่วโมง ก็เป็นอันเข้าใจได้ว่าความเร็วแบบนี้ขับจากกรุงเทพฯก็จะถึงเชียงใหม่ประมาณ 7-8 ชั่วโมง การอ่านค่าแอมป์ก็เช่นกัน
ค่าแอมป์ที่ระบุเป็น A เฉยๆ ไม่มีต่อท้าย ก็ให้เข้าใจว่าเป็นหน่วยกระแสต่อ 1 ชั่วโมง เช่นบนเครื่องชาร์จแบตเตอรี่จะมีมิเตอร์ A มาให้ นั่นเป็นกระแสการชาร์จเป็นแอมป์ต่อ 1 ชั่วโมง
ค่าแอมป์ที่ระบุเป็น Ah อันนี้มีความหมายมากขึ้น เพราะเจ้า “h” ที่ตามมาคือ Hour หรือ ชั่วโมงนั่นเอง ดังนั้น ถ้าแบตเตอรี่มีการระบุแอมป์มาเช่น 200Ah อันนี้ตามมาตรฐานจะต้องระบุว่าต่อกี่ชั่วโมงด้วย ตัวอย่างเช่น 200Ah/20hr ก็คือ 200 แอมป์ต่อระยะเวลา 20 ชั่วโมง วิธีคิดก็คือ เอา 200 แอมป์มาหารด้วยระยะเวลา 20 ชั่วโมง (200/20 = 10) ดังนั้นแสดงว่าแบตเตอรี่ลูกนี้สามารถจ่ายกระแสได้ 10A ต่อเนื่องเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 20 ชั่วโมงนั่นเอง
ปกติถ้าเป็นแบตเตอรี่รถยนต์ก็มักจะเป็นอัตรา 20 ชั่วโมงทั้งสิ้น แต่ถ้าเป็นแบตเตอรี่ชนิดอื่น เช่น Deep Cycle นั้น การระบุอัตราชั่วโมง (หรือบางทีเรียกว่า อัตรา C หรือ C-rate) จะต้องระบุระยะเวลาต่อท้ายด้วยเสมอ เพื่อที่ผู้ออกแบบระบบสามารถนำไปคำนวณการโหลดได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างแบตเตอรี่ Deep Cycle EB160 ที่ระบุ 160Ah/C5 และ 200Ah/C20 แสดงว่าถ้าระบบเราโหลดกระแสประมาณ 32 A เราจะสามารถใช้งานได้ไม่เกิน 5 ชั่วโมง (160/5=32A) ไม่ใช่ว่าเราจะใช้ได้ 6.25 ชั่วโมง (หรือ คำนวณจาก 200A/32Ah = 6.25 ชั่วโมง) หรือ หากโหลด 10A ก็จะใช้งานได้ไม่เกิน 20 ชั่วโมง (200/20 = 10) เป็นต้น
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าอัตราชั่วโมงที่ตามหลังมามีความสำคัญในการออกแบบระบบของเราเป็นอย่างมาก
ครั้งต่อไป ก่อนจะเลือกซื้อแบตเตอรี่ ลองหาข้อมูลพวกนี้ดูหน่อยนะครับ
7 Apr 2017
7 Apr 2017
7 Apr 2017